Immanuel Kant
อิมมานูเอิล คานท์ (Immanuel Kant)
ประวัติของคานท์
อิมมานูเอิล
คานท์ (Immanuel Kant) (22 เมษายน ค.ศ. พ.ศ. 2267 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2347) เป็นนักปรัชญาชาวเยอรมัน
จากแคว้นปรัสเซีย ได้รับการยกย่องโดยทั่วไปว่า
เป็นนักคิดที่มีอิทธิพลมากที่สุดของยุโรป และเป็นนักปรัชญาคนสำคัญคนสุดท้ายของยุคแสงสว่าง
เขาสร้างผลกระทบที่สำคัญไปถึงนักปรัชญาสายโรแมนติกและสายจิตนิยม
ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 งานของเขาเป็นจุดเริ่มของ เฮเกิล คานท์เป็นที่รู้จักเนื่องจากแนวคิดของเขา ที่เรียกว่าจิตนิยมอุตรวิสัย (transcendental
idealism) ที่กล่าวว่ามนุษย์ใช้แนวคิดบางอย่างที่ติดตัวมาแต่กำเนิด
(innate idea) ในการรับรู้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวในโลก
เรารับรู้โลกโดยผ่านทางประสาทสัมผัสประกอบกับมโนภาพที่ติดตัวมานี้
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถล่วงรู้หรือเข้าใจใน "สรรพสิ่งที่แท้" ได้
ความรู้ต่อสรรพสิ่งที่เรามีนั้นจึงเป็นได้แค่เพียงภาพปรากฏ
ที่เรารับรู้ได้ผ่านทางประสาทสัมผัสเท่านั้น
เขาเป็นบิดาแห่งแนวคิดเรื่องสหประชาชาติ
ดังที่ปรากฏในความเรียงว่าด้วยเรื่องสันติภาพถาวรของเขาได้เสนอให้มีการจัดตั้งองค์กรระหว่างประเทศขึ้นเพื่อยุติความขัดแย้งและความโหดร้ายของสงคราม
กระทั่งสันนิบาตชาติและตามด้วยสหประชาชาติได้เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน
เหตุผลนิยมของคานท์
เหตุผลนิยมของคานท์
(Rigorist) หมายถึงลัทธิที่ยึดมั่นในคุณธรรมหรือเหตุผลอย่างเคร่งครัดเคร่ง
ในหนังสือบางเล่มใช้คำว่า Moral Purism หรือ Formal
Ethics ลัทธิเหตุผลนิยมนี้ตรงข้ามกับลัทธิสุขนิยม (Hedonism)
สุขนิยมจะเน้นความสุขอันเกิดจากประสาทสัมผัส
ส่วนเหตุผลนั้นจะตรงข้ามคือเน้นเหตุผลเป็นหลัก
นักปรัชญาบางท่านให้นิยามของสุขนิยมว่าเป็นทฤษฎี “ความเพลิดเพลินเพื่อความเพลิดเพลิน”
และนิยามเหตุผลนิยมว่าเป็นทฤษฎี “หน้าที่เพื่อหน้าที่”
สำหรับเหตุผลนิยมของคานท์
คานท์มีความคิดว่า หลักศีลธรรมนั้นสามารถรู้ได้เอง เป็นสิ่งที่มีมาก่อนแล้ว
ไม่ได้เกิดขึ้นมาภายหลังโดยอาศัยประสบการณ์
และเป็นแนวคิดที่มีประจักษ์พยานในตัวเอง
ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับจริยศาสตร์ของพุทธศาสนาที่ว่า “ตนนั่นแหละเป็นพยานแห่งตนว่าตนได้ทำดีหรือชั่ว” นั่นคือ
“หลักจริยธรรมนั้น
เราจะต้องถือเป็นข้อเท็จจริงแห่งเหตุผลอันบริสุทธิ์
ที่เรามีความสำนึกมาแต่เริ่มแรก และเป็นสิ่งแน่นอนอยู่เหนือความขัดแย้งใดๆ
ทั้งสิ้น”
จริยศาสตร์แนวคานท์
คานท์กล่าวว่า
“จริยศาสตร์ คือ ความนึกในจริยธรรมหรือความสำนึกถึงความผูกพันทางศีลธรรมอันชวนให้มนุษย์ประพฤติชอบต่อกัน”
เราทุกคนมีจริยพันธะทางใจในอันที่จะต้องปฏิบัติตามธรรมะ
เพราะว่าเรามีความสำนึกในศีลธรรมอันเป็นข้อเท็จจริงอันบริสุทธิ์
จริยะพันธะนี้เกิดขึ้นมาเอง โดยที่ไม่ต้องได้รับการกระตุ้น
เป็นกฎที่ไม่มีผู้ใดกำหนดขึ้น แต่เป็นกฎธรรมชาติซึ่งต่างจากกิเลสตัณหา
หรือความใคร่ความอยาก จริยะพันธะเป็นสิ่งที่ลึกลับ ซ่อนเร้น
และจริงจังยิ่งกว่าประสบการณ์ต่าง ๆ
ดังนั้นจึงสามารถแสดงออกมาในด้านคุณธรรมของตนเอง
โดยอาศัยหลักศีลธรรมเท่านั้นเป็นกฎในการอธิบาย
เจตนาดี
(Good Will) : สิ่งดีอย่างไม่มีเงื่อนไข
คานท์มีความคิดว่า
“เป็นไปไม่ได้ที่เราจะเข้าใจทุกอย่างในโลกนี้และนอกโลกที่เป็นความดีซึ่งปราศจากเงื่อนไข
นอกจากเจตนาดี” ถึงแม้ว่าคานท์จะเชื่อว่ามีแต่เจตนาดีเท่านั้นที่ดีอย่างไม่มีเงื่อนไข
แต่คานท์ก็มีความคิดว่าการอ้างเหตุผลเพื่อสนับสนุนความเชื่อนี้ก็เป็นสิ่งจำเป็น
ค้านเห็นว่า
การสร้างเหตุผลมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่การสร้างเจตนาที่ดีในตัวเองเท่านั้น
กฎศีลธรรม
กฎศีลธรรม
(Moral law) หมายถึง ความเป็นจริงของเหตุผลปฏิบัติ (practical
reason) ที่มีอยู่ในบุคคลผู้มีเหตุผลซึ่งคานท์ได้พยายามสร้างกฎศีลธรรมขึ้นโดยได้วางหลักสำคัญไว้
3 ประการ ดังนี้
1. จงทำเฉพาะสิ่งที่เมื่อท่านทำแล้วเป็นกฎสากล
หมายความว่า สิ่งที่ถูกนั้นคือสิ่งที่เป็นสากล
และจงทำสิ่งที่คนอื่นอาจทำตามได้โดยไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม
2.
ทำเหมือนกับว่าได้ปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ในฐานะเป็นจุดมุ่งหมายไม่ใช่เป็นวิถีทาง
คือ จงปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่เราอยากให้เขาปฏิบัติต่อตัวเรา
และอย่าทำให้คนอื่นเป็นเครื่องมือ แต่ให้เราคำนึงถึงจุดมุ่งหมายร่วมกัน
3.
ทำเหมือนกับว่าเราเป็นส่วนหนึ่งแห่งอาณาจักรแห่งจุดมุ่งหมาย คือ ให้ปฏิบัติต่อตนเองและคนอื่นในฐานะที่เป็นบุคคลผู้มีคุณค่าภายในเสมอกัน
จงประพฤติตนในฐานะเป็นสมาชิกของประชาคมที่มีอุดมคติ
ซึ่งทุกคนในประชาคมนี้เป็นทั้งผู้ปกครองและผู้ถูกปกครองซึ่งจะบ่งชี้ถึงความเท่าเทียมกันของทุกคนในสังคมรวมทั้งกำหนดให้เราต้องยอมรับว่ามนุษย์ทุกคนมีอำนาจที่จะเลือกและตัดสินใจเท่าเทียมกันรวมถึงการตัดสินใจทางศีลธรรมเกี่ยวกับสิ่งที่ถูกต้องสำหรับทุกคน
คานท์มองว่ามนุษย์จะเป็นอิสระก็ต่อเมื่อมนุษย์ใช้เหตุผลซึ่งต่อต้านแรงโน้ม
และถ้าเมื่อใดที่มนุษย์ปฏิบัติตนตามแรงโน้มมนุษย์ก็จะไม่มีอิสระ กฎศีลธรรมหรือหน้าที่มีคุณค่าที่แตกต่างจากกฎความรอบคอบ
เพราะว่ากฎศีลธรรมมาจากเหตุผลภายในที่ปราศจากเงื่อนไข
ส่วนกฎความรอบคอบมาจากปัจจัยภายนอกคือ ประสบการณ์
หน้าที่เป็นตัวกำหนดคุณค่าทางศีลธรรม
หากว่าเราปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้วถือว่าเป็นมนุษย์ที่ดีที่สุด เป็นที่หน้าสังเกตว่าการทำความดีหรือการปฏิบัติตามศีลธรรมนั้น
ไม่ได้นำเราไปสู่ความสุขเสมอ
แต่เราก็จำเป็นต้องทำความดีเพราะว่าสิ่งนั้นเป็นความดี
และเป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องกระทำไม่ว่าเราจะได้รับความสุขหรือไม่ก็ตาม
ดังนั้นความสุขจึงไม่ใช่แรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ของเรา แต่เราปฏิบัติหน้าที่เพื่อหน้าที่
เราไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น