England
การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์
ที่มา (https://ichef.bbci.co.uk/images/ic/1200x675/p01grdq1.jpg)
การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ (อังกฤษ: Glorious Revolution) ยังรู้จักกันในชื่อ การปฏิวัติปี ค.ศ. 1688 คือการปฏิวัติโค่นล้มราชบัลลังก์ของสมเด็จพระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งอังกฤษ (พระเจ้าเจมส์ที่ 7 แห่งสกอตแลนด์, พระเจ้าเจมส์ที่ 2 แห่งไอร์แลนด์) โดยสหภาพนักรัฐสภานิยมชาวอังกฤษกับเจ้าผู้ครองสถานชาวดัตช์ เจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์-นัสเซา (เจ้าชายวิลเลียมแห่งออร์เรนจ์) จากความสำเร็จในการบุกยึดอังกฤษด้วยกองทัพเรือของเจ้าชายวิลเลียม
ตามมาซึ่งการขึ้นครองราชบัลลังก์อังกฤษเป็น พระเจ้าวิลเลียมที่ 3 แห่งอังกฤษร่วมกับสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 แห่งอังกฤษ พระชายา การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ยังถือเป็นจุดสิ้นสุดของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในอังกฤษ
ทำให้กษัตริย์เป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญ
ที่มา (https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/1/14/King_James_II_from_NPG.jpg/280px-King_James_II_from_NPG.jpg)
นโยบายด้านการศาสนาของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 หลังปี ค.ศ. 1685 เผชิญกับการต่อต้านมากขึ้นจากผู้นำฝ่ายการเมืองซึ่งไม่นิยมชมชอบสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับฝรั่งเศสและการเข้ารีตนิกายคาทอลิกขององค์กษัตริย์
จุดวิกฤตมาถึงเมื่อองค์กษัตริย์ให้กำเนิดรัชทายาทเป็นพระราชโอรสนามว่า เจมส์ ฟรานซิส เอ็ดเวิร์ด สจวต ในวันที่ 10 มิถุนายน ค.ศ. 1688 (ตามปฏิทินจูเลียน) ซึ่งเปลี่ยนแปลงลำดับการสืบราชบัลลังก์ของเจ้าหญิงแมรีแห่งอังกฤษ
พระราชธิดาผู้ซึ่งเป็นทายาทโดยสันนิษฐานและคริสเตียนโปรเตสแตนต์ (และยังเป็นพระชายาในเจ้าชายวิลเลียมแห่งออร์เรนจ์)
แทนที่ด้วยเจ้าชายเจมส์ผู้นับถือคริสต์นิกายคาทอลิกและมีสิทธิเป็นทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงในทันที
การสถาปนาราชวงศ์ในรีตโรมันคาทอลิกขึ้นปกครองราชอาณาจักรอังกฤษจึงเป็นไปได้อีกครั้ง
หัวหน้าขุนนางทอรีผู้มีอิทธิพลสูงบางกลุ่มจึงร่วมกับขุนนางจากพรรควิกเข้าคลี่คลายวิกฤตด้วยการทูลเชิญเจ้าชายวิลเลียมแห่งออเรนจ์มายังอังกฤษ
ซึ่งเจ้าผู้พิทักษ์เห็นว่าความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสดำเนินมาถึงจุดที่จะต้องมีการเข้าแทรกแซงด้วยกำลังทหาร
หลังจากรวบรวมกำลังสนับสนุนทางการเงินและจากฝ่ายการเมืองแล้ว
เจ้าชายวิลเลียมจึงนำกองเรือรบข้ามทะเลเหนือและช่องแคบอังกฤษก่อนจะมาขึ้นฝั่งอังกฤษที่ทอร์เบย์ในเดือนพฤศจิกายน
ค.ศ. 1688 ภายหลังจากมีการปะทะกันของกองกำลังย่อยสองครั้งในอังกฤษและความไม่สงบจากการต่อต้านนิกายคาทอลิกในหลายเมือง
การครองราชบัลลังก์ของพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ก็มีอันต้องสิ้นสุดลง
โดยมากเนื่องจากการที่พระองค์ไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถในการแก้ไขสถานการณ์ได้
ตามมาด้วยความยืดเยื้อจากสงครามวิลเลียมไมท์ในไอร์แลนด์และการปฏิวัติจาโคไบต์ในสกอตแลนด์ในอาณานิคมอเมริกาอันไกลโพ้นของอังกฤษ
การปฏิวัตินำไปสู่ความล่มสลายของรัฐอธิราชนิวอิงแลนด์ (Dominion of New England) และการโค่นล้มรัฐบาลในจังหวัดแมรีแลนด์
ตามมาด้วยการพ่ายแพ้ของกองกำลังฝ่ายพระเจ้าเจมส์ในสมรภูมิรีดดิง วันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1688 พระเจ้าเจมส์ที่
2 และพระชายาจึงเสด็จออกนอกประเทศ
อย่างไรก็ดีพระองค์เสด็จกลับมายังลอนดอนเป็นเวลาสองสัปดาห์ก่อนที่จะเสด็จออกนอกประเทศไปยังฝรั่งเศสเป็นการถาวรในวันที่
23 ธันวาคม ค.ศ. 1688 เพื่อเป็นการยุติภารกิจของกองกำลังของพระองค์
เจ้าชายวิลเลียมจึงได้โน้มน้าวให้ที่ประชุมรัฐสภาราชาภิเษกพระองค์และพระชายาเป็นกษัตริย์ร่วมบัลลังก์
การปฏิวัติยุติความเป็นไปได้ใดๆ
ที่จะทำให้อังกฤษกลับไปเป็นรัฐซึ่งนับถือคริสตจักรโรมันคาทอลิก
โดยส่งผลกระทบอย่างมากต่อลัทธิโรมันคาทอลิกในบริเตนทั้งด้านสังคมและด้านการเมือง
ผู้นับถือโรมันคาทอลิกไม่มีสิทธิ์ในการลงคะแนนเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งในรัฐสภาเวสต์มิสเตอร์เป็นเวลานานกว่าศตวรรษก่อนที่จะมีการยกเลิกไป
นอกจากนี้ยังห้ามการมีตำแหน่งในกองทัพ และพระมหากษัตริย์เองก็ถูกจำกัดไม่ให้เข้ารีตโรมันคาทอลิกด้วย ซึ่งข้อห้ามที่ใช้กับพระมหากษัตริย์นี้ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน
การปฏิวัติยังก่อให้เกิดการจำกัดสิทธิ์ต่อชาวโปรเตสแตนต์นอกรีตจนเวลาล่วงเลยผ่านไปนานกว่าจะกลับมามีสิทธิทางการเมืองอย่างเต็มที่อีกครั้ง
นับได้ว่าร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิ์ ค.ศ. 1689 กลายมาเป็นเอกสารชิ้นสำคัญที่สุดชิ้นหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองในสหราชอาณาจักร
และไม่เคยปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยต่อมาพระองค์ใดเคยได้ครอบครองอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใน
สหราชอาณาจักรอีกเลย
ในระดับนานาชาติ การปฏิวัติถูกเชื่อมโยงกับสงครามมหาสัมพันธมิตรบนยุโรปภาคพื้นทวีป โดยถูกมองว่าเป็นการรุกรานอังกฤษโดยชาวต่างชาติครั้งสุดท้ายที่ประสบความสำเร็จ
การปฏิวัติทำให้ทุกความพยายามที่จะครอบครองสาธารณรัฐดัตช์ด้วยกำลังทหารของอังกฤษในสงครามอังกฤษ-ดัตช์ ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17
เป็นอันต้องสิ้นสุดลง
อย่างไรก็ตามผลกระทบจากการร่วมมือกันทางการค้าและการทหารของอังกฤษและดัตช์
ทำให้ขั้วอำนาจทางการค้าของโลกถูกส่งผ่านจากสาธารณรัฐดัตช์ไปสู่อังกฤษแล้วถูกส่งต่อไปยังราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ในที่สุด
การเรียกขานการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ถูกใช้ครั้งแรกโดย จอห์น แฮมป์เดน
ในช่วงปลาย ค.ศ.
1689 จนกลายมาเป็นการเรียกขานที่ยังคงใช้อยู่มาถึงปัจจุบันโดย[5] การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์ยังถูกเรียกในบางโอกาสว่า การปฏิวัติปราศจากเลือด แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง สงครามกลางเมืองอังกฤษ (การลุกฮือครั้งใหญ่)
ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวอังกฤษส่วนมากในปี ค.ศ. 1688 และสำหรับพวกเขาแล้วการปฏิวัติครั้งนี้ก่อให้เกิดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สินน้อยกว่าสงครามกลางเมืองอยู่มาก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น